28 พ.ย. 2554

หลวงพ่อขี้วัว-พระผู้ทรงอภิญญา โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง



ข่าวเล่าลือ
ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๗ - ๒๔๘๘ ในอำเภอสองพี่น้องกับเขตอำเภอบางปลาม้า 
ก็ได้ยินข่าวเล่าลือเสมอว่า มีพระพิเศษมาเที่ยวนั่งอยู่ตามกลางทุ่ง 
ห่มจีวรสีกลักแล้วก็มีย่ามลูกใหญ่ บางทีเอาผ้าคลุมโปงเวลาเดินไปที่ไหน
เจอะขี้งัวเหลวๆ ก็หยิบใส่ย่ามแล้วนั่งซุ่มๆ เวลาเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเห็นเข้า
เดินเข้าไปใกล้ ท่านก็เดินหนีเสีย 
ทีนี้เจ้าพวกเลี้ยงวัวเลี้ยงควายนี่ก็เป็นคนไม่ค่อยจะเหมือนคนเหมือนกัน 
บางคราวมันนึกฮิตๆ ขึ้นมา มันนึกว่าเป็นพระบ้าพระบอมันก็วิ่งไล่กวด 
ท่านก็วิ่งหนีแล้ววิ่งไปได้ไม่นานทั้งๆที่เป็นกลางวันแล้วก็กลางทุ่ง 
ปรากฏว่าไม่เห็นพระองค์นั้น ทำแบบนี้กันอยู่หลายวัน





เทศน์ที่ตำบลสองพี่น้อง
วันหนึ่งเจ้าภาพนิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่ตำบลสองพี่น้อง ที่บ้านบางสะแก
แล้วก็วัดบางสะแกหรืออะไรนี่ไอ้วัดนั้นไม่ทราบว่าชื่อวัดอะไรแต่กลุ่มบ้านนั้น
เขาเรียกว่า "บ้านบางสะแก" เมื่อเวลาเทศน์จบก็ต้องค้างคืนเพราะเขานิมนต์ฉันเช้า 
ค้างกันอยู่ ๓ องค์ด้วยกัน ไปเทศน์ ๓ องค์ เวลาค้างคืนก็มาค้างที่บ้าน
พอตกกลางคืนเขาก็พูดให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้น 
ก็บอกเขาว่าจะไปหาว่าท่านเป็นพระบ้าพระบอมันก็ไม่ได้ 
ความจริงรู้สึกว่าจะเป็นพระที่มีความสำคัญอยู่ พระองค์นี้ต้องเป็นพระอริยเจ้า
และอย่างเลวที่สุดก็ต้องเป็นอภิญญาหก พระอภิญญาหกนี่มีหูทิพย์ 
ตั้งแต่อภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณนี่พูดอะไรไม่ได้ ท่านได้ยิน 
สำหรับพระวิชาสามนี่ต้องใช้ญาณเป็นเครื่องกำหนดรู้
ถ้ากำหนดจิตเพื่อรู้จริงๆ ใครเขาพูดไว้ตั้งหลายปีก็รู้ได้ว่าเขาพูดว่ายังไง 
นี่มันคนละอย่าง พระวิชาสามเหมือนกับคนมีตำรา ต้องเปิดตำราจึงรู้ 
แต่พระอภิญญาหกขึ้นไป ไม่เหมือนกับคนมีตำรา เหมือนคนที่รู้เอง 
พูดที่ไหนก็ไม่ได้ นินทาไม่ได้ นินทาเมื่อไรรู้เมื่อนั้น

พิสูจน์ภูมิธรรม
เลยบอกเจ้าของบ้านว่า "ทดลองกันดีกว่าว่าพระองค์นั้นจะเป็นพระอะไร"
ก็เลยพูดดังๆ ว่า "พระองค์นั้นหากว่าเป็นพระอริยเจ้าจริง พรุ่งนี้ตอนเช้าโปรดมาพบที่บ้านนี้ 
เพราะชาวบ้านพร้อมพระ คือคณะอาตมาด้วยต้องการนมัสการ ถ้าหากว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็จงอย่ามา"
ทีนี้ก็ไม่ยาก ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็รู้ไม่ได้ พูดเท่านั้นชาวบ้านเขาก็ตั้งใจพนมมืออธิษฐานเหมือนกัน
เพราะนั่งอยู่หลายสิบคน คุยกันไปดึกประมาณ ๒๔ น. ต่างคนต่างก็ลากลับ พระก็นอน 
ชาวบ้านก็นอนหรือใครไม่นอนบ้างก็ไม่ทราบ
ถึงเวลาเช้าตรู่เวลาประมาณ ๖ น. ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาทางหลังบ้าน เสียงโวยวายๆ ว่า 
"ใครวะ ใครมันท้ากูตีวะ มันเก่งจริงมันลงมาซิหว่า ไอ้คนเก่งจริงไม่ต้องไปท้ากันกลางคืนโว้ย" 
เสียงเอะอะมาแล้วมาที่หน้าบ้านหลังนั้นมายืนกวักมือท้าเหวยๆ บอก "เฮ้ย ใครวะเมื่อคนมันท้ากูตีวะ 
เก่งจริงโดดลงมาซิวะกูคนเดียวละ พวกมึงเท่าไรก็ตามมาตีกับกู" เป็นอันว่ามาแล้วแต่มาแบบนักเลงโต 
อาตมากับเพื่อนก็ลงไปข้างล่างยกมือไหว้ บอกว่า "นิมนต์ขึ้นข้างบนเถิดขอรับ ทำแบบนี้ไม่มีผลหรอก
ชาวบ้านเขาจับได้แล้ว อย่ามาปลอมแปลงเป็นคนบ้าเลย จะทำให้ชาวบ้านเขาบ้าไปด้วย" 
ท่านนิ่งประเดี๋ยว มองหน้า เอาผ้าที่เคียนศรีษะลง ผ้าจีวรน่ะ เคียนศรีษะเสียใหญ่เบ้อเร่อเชียว 
เอาลงแล้วก็ห่มเป็นปริมณฑลเรียบร้อย แล้วก็เดินขึ้นบ้านแบบสงบ นั่งเฉยยิ้มแฉ่ง
ตอนนี้นั่งดูแล้วสีเปลี่ยน เปลี่ยนจากดำค่อยๆ ขาวไปทีละน้อย จนท่านขาวแล้วก็ออกเหลือง 
หน้าตาอิ่มเอิบ ชาวบ้านเขารู้กันเร็วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวคนเต็มหมด 
ทุกคนมาถึงแล้วก็กราบแบบสนิทใจ ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใสคุยด้วยดี
ก็เป็นอันว่ารู้กันแล้วว่าพระองค์นี้เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ขั้นอภิญญาหกขึ้นไป 
แต่จะเป็นขนาดไหนไม่รู้ จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน
เพราะอธิษฐานไว้แบบนั้น
เวลาท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านก็ให้พรเสียงเพราะมาก เวลาให้พรเสร็จท่านก็บอกว่า
ใครมีสำรับกับข้าวมาถวายพระบ้าง ให้เอาถ้วยไปล้างให้สอาดคนละลูกแล้วส่งมาให้ท่าน 
ทุกคนปฏิบัติตาม ส่งถ้วยไปแล้วท่านก็ควักขี้วัวในย่ามของท่านแล้วบอกว่า 
"ใครก็ตามสีปาก เอาขี้วัวนี่นะสีปากแล้วพูด ชาวบ้านรักชาวบ้านชอบ" 
ว่าแบบนั้นชาวบ้านก็คงจะสะอึก พอเสร็จเรียบร้อยท่านก็ลากล่ับ เวลากลับท่านเดินลงบันได 
พอพ้นบันไดลงไป ปรากฏว่าคนข้างล่างก็ไม่เห็นท่าน คนข้างล่างไม่เห็นท่านลงไป
แต่คนข้างบนเห็นท่านลง เป็นอันว่าข้างบนก็ไม่มีข้างล่างก็ไม่มี หายไปเสียแล้ว
ชาวบ้านเขาก็บอกว่า ของในถ้วยนี้นะเขาไม่เรียกขี้วัว ก็ดีเหมือนกันถ้าไปเรียกขี้วัวเข้า
มันจะเป็นขี้วัวเพราะอำนาจฤทธิ์ของท่าน เขาถามว่า ของในถ้วยนี้จะทำอย่างไร 
ก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนซิ สำรวจดูก่อน จริยาท่านไม่เหมือนพระอื่นนะ 
เวลาท่านมาแสดงรกรุงรัง แสดงท่าเอะอะโวยวาย แต่เวลาเราพูดดีเข้า 
ท่านเรียบร้อยดีกว่าพวกฉันเสียอีก กริยาท่านกลับไปเรียบร้อย 
เข้าใจว่าขี้วัวจะเป็นอย่างอื่น ถ้าหากขี้วัวเป็นขี้วัวตามเดิม ก็แสดงว่าพระองค์นี้
ไม่ใช่พระอรหันต์ขั้นฉฬภิญโญขึ้นไป ถ้าหากว่าขี้วัวเป็นอย่างอื่นก็แสดงว่า
เป็นพระอรหันต์ขั้นฉฬภิญโญ ขั้นอภิญญาหกขึ้นไป 
พอว่าเท่านั้นชาวบ้านต่างคนต่างเปิดฝาถ้วยดู 
เจ้าขี้วัวทั้งหมดกลายเป็นสีผึ้งสีปากหอมกรุ่น เรียกว่าหอมกว่าสีผึ้งธรรมดา 
เรื่องนี้ก็จบกันเท่านี้ สวัสดี





ที่มา : palungjit.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น