22 ธ.ค. 2554

การเจริญสมาธิ โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ


พยายามสลัดความสับสนวุ่นวายออกจากตัวเองให้ได้ หยุดความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง
ใส่ความรู้สึกนึกคิด


ลงไปจับจ้อง จดจ่อ อยู่เพียงแต่ในกายของตน สำรวจตรวจตราดูว่า เรายังมีความสับสน
วุ่นวายหรือรู้สึก นึกคิดอื่นๆ ตกค้างอยู่หรือเปล่า ถ้ามี จงเพิกถอนมัน หรือหยุด หรือสลัดให้หลุด
หรือไม่ต้องคิด ไม่ต้องเก็บ นำมาเป็นอารมณ์ แล้วทำความรู้สึกผ่อนคลาย ภายในกายของตน
โดยวิธีการค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า แล้วผ่อนออกมายาวๆ ด้วยความรู้สึกโปร่งเบาและสบาย


เมื่ออริยาบทและประสาททั้งหลายภายในกาย หยุดความขมึงทึง และเริ่มผ่อนคลาย ก็จับจ้อง
อยู่แต่โครงสร้างของร่างกาย นั่นคือโครงกระดูกทั้งปวง


เริ่มต้นตั้งแต่ กลางกระหม่อม แล้วเรื่อยลงมาจนถึงหน้าผาก โหนกคิ้ว ขอบตา จมูก โหนกแก้ม
ริมฝีปาก ซี่ฟัน ปลายคาง กราม หู กระโหลกซ้ายและขวา แล้วเรื่อยขึ้นไปอยู่ที่กลางกระหม่อม
ถอยร่นลงมากระโหลก ด้านหลัง ต้นคอ กระดูกข้อต่อของต้นคอ หัวไหล่ สันหลังจนกระทั่งถึง
โครงสร้างของกระดูกทุกส่วนภายใน ร่างกาย ทำความรู้สึกในการสำรวจเหมือนกับบุรุษผู้ตาบอด
แล้วใช้มือคลำสิ่งของต่างๆ และรับรู้ได้ด้วย จิตวิญญาณและความรู้สึก เมื่อจิตวิญญาณอารมณ์
ความรู้สึก ทุ่มเทให้กับกระบวนการสำรวจโครงสร้างในร่างกาย ความสันติสุข พลังและความสงบ
จะคงอยู่ในจิตวิญญาณและร่างกายของเรา จะไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ
เข้ามายุ่งเกี่ยว ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย จะไม่มีความรู้สึกนึกคิดและสิ่งอื่นมาข้องแวะ
มีแต่กระบวนการสำรวจโครงสร้างของร่างกายเท่านั้น เมื่อเราไม่สามารถจะตรวจสอบโครงสร้าง
จนเป็นที่ประจักษ์แจ้งชัดได้
ด้วยวิธีการรู้สึก ก็ให้ใช้นิ้วมือข้างขวา ลูบคลำตั้งแต่ กลางศรีษะ ลงมาสู่จุดต่างๆ แล้วทำความรู้สึก
ไล่ตามอาการลูบคลำนั้นๆ ให้รับรู้ได้ด้วยการลูบคลำ จนมันเกิดภาพ มโนภาพทางใจ ทางอารมณ์
ทางจิตวิญญาณว่า นี้คือกระโหลกศรีษะ นี่คือหน้าผาก นี่คือโหนกคิ้ว นี่คือกระบอก นี่คือโหนกแก้ม
นี่คือกระดูกริมผีปาก และนี่คือ ฟัน กราม หู จงอย่าคลำแค่ติดเนื้อ จงคลำเข้าไปลึกจนถึงกระดูก
นั้นก็คือ อย่าสนใจแต่เนื้อและหนังที่อยู่ภายนอก ให้รู้เห็นและสัมผัสได้จนถึงกระดูกภายใต้เนื้อและ
หนังให้ได้ ต้องสำรวจทุกส่วนของโครงสร้างของร่างกาย
จนเป็นที่ประจักษ์แจ้ง และชัดเจนแจ่มใส เมื่อเราทำได้ดังนี้ จึงถือ ว่าเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมหาสติ สมาธิ
และ องค์ฌาน ผู้ที่สามารถทรงไว้ซึ่งมหาสติ สมาธิและองค์ฌาน ย่อมสามารถลุถึงปัญญาญาน
ในการรู้แจ้ง เห็นจริงตามสภาวะนั้นๆ
ย่อมเข้าถึงได้ซึ่งสันติสุข และความสงบอย่างยิ่ง
ความที่เราปล่อยให้ความรู้สึกจับจ้อง กับโครงสร้างในร่างกาย หลุดลอยออกไปสู่อารมณ์ภายนอก
นั่น เป็นการแสดงออก และบอกได้ทันทีว่า เรากำลังเป็นผู้แพ้ กำลังจะพ่ายแพ้ต่อมาร และซาตาน
ที่จะคอยขัดขวาง การปลดปล่อยจิตวิญญาณของเราให้อิสระ เราต้องมีกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว

ตัดสินใจอย่างเฉียบขาดและรวดเร็วที่จะสลัดให้มันหลุดจากการเกาะกุมของความสับสน ยุ่งฟุ้งซ่าน
ที่เป็นอำนาจของซาตานและมารร้าย แล้วรีบกลับ เข้ามาสู่ภายในกายของตนให้รวดเร็วที่สุด

จิตวิญญาณที่รวมกับกาย เป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากอารมณ์ จิตวิญญาณที่ปราศจากความรู้
สึกนึกคิดจิตวิญญาณที่ปราศจากความปรุงแต่งทั้งปวง เป็นจิตวิญญาณที่มากไปด้วยความรู้
มีพลังมากไปด้วยประสิทธิภาพ
ผู้ที่มีกายรวมใจ ย่อมมีชัยชนะต่อทุกสิ่งการฝึกกายให้รวมกับใจ ไม่จำเป็นจะต้องรอเวลา
ช่วงทำสมาธินั่งหลับตาเท่านั้น ทุกเวลาในอิริยาบท ทั้งหลาย เราก็มีโอกาสจะดึงจิต กลับเข้ามา
สู่กายได้ เมื่อรู้ว่ามันหลุดรอดออกไปแสวงหา กระเสือก กระสนดิ้นรน สับส่ายฟุ้งซ่าน วุ่นวาย
เศร้าโศรก เสียใจ กลัดกลุ้ม อาลัยอาวรณ์ ทุกข์ทรมานเดือดร้อนและแล้งแค้น
เมื่อรู้ว่ามันออกไป จะมีภยันตรายเหล่านี้ เราต้องดึงจิตวิญญาณกลับเข้ามาสู่บ้าน สู่กาย
บ้านก็คือกายของ เรานั่นเอง แล้วก็รักษาระวังอย่าให้มันออกไปเปียกฝน อย่าให้มันออกไปลำบาก
ตรากตรำ ต่อพายุที่โหมกระหน่ำ รอบนอกตัวเรา

ผู้ที่รักษาจิตดีแล้ว นั่นคือผู้ที่มีกายกับจิตรวมเป็นหนึ่ง
ผู้ที่รักษาจิตดีแล้ว คือผู้ที่รักษาจิตเอาไว้ในกาย
ผู้ที่รักษาจิตดีแล้วคือผู้ที่ระแวด ระวังไม่ให้จิตออกจากกาย
ผู้ที่รักษาจิตดีแล้วย่อมไม่นำจิตออกไปแปดเปื้อน
จนเกิดมลทิน ไปกระทบรับรู้ต่อมลภาวะทั้งหลาย พระศาสดาทรงตรัสว่า ผู้ที่รักษาระวังจิตดีแล้ว
ย่อมนำสุขมาให้
การฝึกสมาธิ
การฝึกสมาธิ ก็คือการกำจัดความคิดทั้งปวง การกำจัดความคิดทั้งปวงก็คือ การไม่คิดสิ่งใดทั้งหมด
การไม่คิดสิ่งใดทั้งหมดก็คือ การที่เราฝึกทำตนให้เป็นคนไม่มีอะไรเสียบ้าง ถ้ารู้จักทำตนให้เป็น
คนไม่มีอะไรบ้าง เราก็จะไม่เป็นอะไร เมื่อไม่เป็นอะไร เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร เมื่อไม่ต้องกลัวอะไร
มันก็ไม่อยาก อะไร พอไม่อยากอะไร ก็ไม่ต้องการอะไร พอไม่ต้องการอะไร ก็ไม่ต้องเสียดายอะไร
เมื่อไม่ต้องเสียอะไร ก็ไม่คิดระแวงอะไร พอไม่หวาดระแวงอะไร มันก็ไม่เศร้าหมองในอะไร
เมื่อเราไม่เศร้าหมองอะไร จิตใจของเราก็จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สนิทแนบแน่นกับกาย แล้วก็รักษา
มันไว้ให้คงที่ ที่จะทำ คำที่พูด สูตรที่คิด จะเปี่ยมด้วยความมีประโยชน์ มากไปด้วยค่าและราคา
และพร้อมทั้งการประหยัดพลังงาน
จุดมุ่งหมายของการที่พวกเราทำสมาธิ ที่พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นพ่อและเป็นพี่ พระองค์ทรงมีประสบการณ์ที่จะนำเอาจิตวิญญาณของพระองค์ เข้าไปสู่ประตูแห่งจักรวาล ในกายนี้ และในตัวเราเองเราก็เป็นแต่เพียงแค่เดินตามพระองค์เข้าไปอย่างเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริตจริงจัง ตั้งใจ และก็จดจ่อแค่นั้นเอง มันก็จะถึงประตูแห่งวิญญาณที่เราต้องการไปง่ายดาย ปัญหาสำคัญคือ เราต้องทำให้มันจริง

การทำสมาธิแต่ละครั้ง เมื่อใดที่มันปรากฏความคิดใด ๆ จำกัดและสลัดให้มันหลุดไป แม้แต่สุดท้าย
ความง่วง มึน ซึม ความงี่เง่า หาสาระไม่ได้ของอารมณ์ก็ต้องสลัดให้หลุด เพราะฉะนั้นมันคือตัวการ
ทำลายที่คอยจะกิน และทำลายพลังของเรา มันเป็นซาตานที่สิงอยู่ในหัวใจ ในวิญญาณของเรา
กลายเป็นสิ่งที่เราเองเองไม่รู้ตัว มันแฝงเข้ามาในรูปแบบของการ การพักผ่อน มันแฝงเข้ามาใน
เรื่องของความอ่อนเพลีย เหนื่อย เมื่อย เราอาจจะแยกแยะไม่ออกหรอกว่า ความเมื่อย เหนื่อย
เพลียนั้น มันเป็นความเมื่อยเพลียของกายจริง ๆ
บางทีเรานั่งอยู่ตรงนี้ไปนอนจริง ๆมันก็นอนไม่หลับ ก็บอกได้ทันทีเลยนะว่า เราโดนซาตานมันเข้า
สิง ซาตานมันกำลังฉุดกระชากให้เรากลายเป็นทาสของมัน และก็ปฏิเสธการปลดปล่อยตัวเอง
ออกจากการ เป็นทาส พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จึงสอน และเตือนเราว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะ
ความเพียร ขันติคือ ความอดทนอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง เหล่านี้คือ
เครื่องกลั่นกรอง เครื่องร่อน เพื่อจะเอา เมล็ดกรวดทราย จากดิน และเราจะได้เอาดินอันนั้นไป
ปั้นเป็นแจกัน เป็นโอ่ง เป็นชาม เป็นอะไรก็ได้ ตามใจของ เราปรารถนา และมันไม่แตก ไม่ร้าว
พร้อมที่จะใช้งานได้ทุกเวลา ฉันใดก็ฉันนั้น จิตวิญญาณ ใจและกาย ถ้ารู้จักคิด แยกแยะดีชั่ว
แยกมิตรกับศัตรูให้ออก เราก็จะบอกกับตัวเราเองได้ว่า เราไม่มีอะไร ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยให้ใคร
มาสอน ตั้งแต่เล็กมาจนถึงวันนี้ ไม่เคยให้ใครมาชี้มือจับทำงาน ไม่เคยจะต้อง ให้ใครมาชี้นำว่า
จะต้องทำไอ้โน่น ทำไอ้นี่ และดูผลประโยชน์ ดูความสำเร็จ


---- แดนธรรมะ ----

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น