2 ธ.ค. 2554

ฌาน - เทวดา - พรหม โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


          วันนี้เปิดเทปหลวงพ่อตื้อฟัง มีคนเขาเอามาให้ ท่านบอกว่า "พุทโธ" แต่พุทโธก็อย่าให้ถึง ธัมโม นะ อันนั้นของท่านถูก เพราะถ้าจิตใจเราภาวนาว่า พุทโธ แล้วไปนึกเอาธัมโมเข้า ก็แสดงว่า 
จิตเคลื่อน จากสมาธิ เมื่อพุทโธ ก็ต้องพุทโธ อยู่ตลอดเวลา ขณะใดที่ยังพุทโธอยู่ ขณะนั้นคือ  
จิตเป็นฌาน

          ไอ้คำว่า "ฌาน" ภาษาบาลีว่า ฌานัง แปลว่า เพ่ง "เพ่ง" นี้ ไม่ใช่ เอาตาไปจ้อง แต่ให้เอาใจไปจ้อง คือ ใจนึกอยู่เสมอ นี่แหละตัวฌาน คือ ใจนึกอยู่ว่า เราภาวนายังไง ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้าเราก็นึกว่า พุทโธ นึกถึง พระธรรมเราก็นึกว่า ธัมโม นึกถึงพระสงฆ์เราก็นึกว่า สังโฆ ทีนี้ถ้าเรากำลังนึกว่า พุทโธ ก็อย่าให้กลายเป็น ธัมโม สังโฆ ออกมาด้วย ถ้ามันส่ายในอารมณ์ แบบนี้ก็ชื่อว่า จิตไม่ทรงสมาธิ เว้นไว้ แต่ว่า เราจะตั้งใจนึกถึง พระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ คือ ทั้ง พุทโธ ธัมโม และ สังโฆ ถ้าตั้งใจแบบนี้ เราก็ย่ำเท้า 3 จุดเลยไม่ให้พลาด นี่ก็เป็นสมาธิเหมือนกัน ใช้ได้ ถ้ามันผิดพลาดจากเจตนาเดิม เราถือว่าคลาดจากสมาธิ 

           อารมณ์ฌานนี่ก็ไม่มีอะไร ความจริงมันของง่าย ๆ พูดให้มันยาก "การตั้งใจไว้โดยเฉพาะ" นั่นคือ ฌาน ฌาน คือ การทรงอารมณ์อยู่ การทรงอารมณ์อยู่เรียกว่า การเพ่ง คือ 
การตั้งใจไว้ นี่มัน ฌานเล็ก คือ ปฐมฌาน ถ้าถึงทุติยฌานแล้ว จะตั้งใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ 
อะไรก็ตาม มันหยุดภาวนา คือ ภาวนาไป ๆ มัน หายไปเองเฉย ๆ อีตัวหายไปเฉย ๆ นี่เขาเรียกว่า 
ตัด วิตกวิจาร ปฐมฌาน มี วิตกวิจาร วิตก คือ ตัวนึก วิจาร ว่า ใคร่ครวญ เรานึกว่า จะภาวนาพุทโธ 
และขณะภาวนาก็ใคร่ครวญว่า เอ๊ะ นี่เราว่า ครบไหม เราว่า พุทโธนี่ เราว่าอยู่หรือเปล่า แล้วจะครบไหม
ไอ้นี่เป็น วิจาร พอถึง ทุติยฌาน วิตก หริอ วิจาร หยุดไป ไม่ใช่เราเลิก ต้องให้เลิกเอง เมื่อวิตกวิจารเราเลิก คำภาวนาก็หายไป เพราะว่า คำภาวนา มันเป็นวิตกวิจาร วิตกวิจารหายไป แต่จิต มันเป็นสมาธิดีขึ้น มีความชุ่มชื่น ทรงตัวดีกว่า แต่ว่าถึงฌาน 2 ใหม่นี่นะ พอจิตมันตกกลับไปถึง ปฐมฌาน มีอารมณ์นึกขึ้นมาว่า อ้าว ตาย จริงนี่ ลืมภาวนาเสียแล้ว จับต้นชนปลายไม่ถูก เอ๊ะ นี่ เราไม่ได้ภาวนา เสียแล้วนี่ เสร็จ! ไปเจอะเอาเพชรเข้านึกว่า ราคาถูกกว่าขี้เสียแล้ว 
           ทีนี้พอถึงฌานที่ 3 ความชุ่มชื่นหายไป มีอาการคล้าย ๆ กับตัวตึงเป๋ง ความจริงตัวมันปกติ แต่จิตมันตั้ง มั่นมาก มีอาการทรงตัวเป๋ง หูได้ยินเสียงภายนอกน้อย ลมหายใจเบา อารมณ์มันทรงสบาย ใครจะกระโดด โลดเต้นไงก็ตาม ไอ้ตัวนี้ไม่รำคาญ เรานอนอยู่เขากระโดดตึง ๆ ไอ้ตัวนี้เฉย มันรู้ว่า เขาโดดแต่ได้ยินเสียงไม่ชัด 
           ทีนี้พอถึงฌานที่ 4 กายกับใจมันแยกเด็ดขาด ความจริงกายกับใจมัน เริ่มแยกกันตั้งแต่ฌานที่ 1 แล้วคือ ตามปกติ เราได้ยินเสียงรบกวนนี่ เรารำคาญ ทีนี้ในฌานที่ 1 ได้ ยินเสียงไม่รำคาญ แสดงว่า จิตมันเริ่ม แยกจากกายนิดหน่อย พอฌานที่ 2 ตัดวิตกวิจาร มีความชุ่มชื่น มีการทรงตัว มากขึ้น ก็แยกกันไกลออกไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในตัว ยังรับรู้เรื่องของประสาท ฌานที่ 3 มีอาการทรงตัวมากขึ้น แต่ยังรับอาการของประสาทเบาๆ พอฌานที่ 4 จิตมันแยกกับกายเลย ไม่ยอมรับรู้เรื่องของประสาททั้งหมด ยุงกินริ้นกัดไม่รู้หรอก เสียงดังโครมคราม แม้แต่เสียงปืนใหญ่ เสียงระเบิดลงใกล้ ๆ มันก็ไม่ได้ยิน ถ้าหากเป็นฌาน 4 ละเอียดนะ เมื่อจิตมันแยกกับกายเด็ดขาด ท่านจึงถือว่า ฌาน 4 เป็นฌานสำคัญ เวลาที่เราจะถอดตัวข้างใน ออกไปเที่ยวข้างนอกก็ต้องเข้าถึงฌาน 4 เวลาพระพุทธเจ้านิพพานก็ฌาน 4 พระอรหันต์ ถ้าท่านทรงตั้งแต่ฌาน 4 ขึ้นไป ท่านก็ต้องถอยกลับมาออกตรงฌาน 4 นี่แหละ ออกตรงอื่นไม่ได้ เว้นแต่ท่านที่ได้ไม่ถึงฌาน 4 ก็ไปตามกำลังของฌาน 
           คนที่ตายด้วยกำลังของฌาน เขาไม่ได้ตายอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ เพียงแต่ตั้งท่าไปเฉยๆ เท่านั้น คือ ครั้ง แรกเขาใคร่ครวญดูก่อนว่า จะไปที่ไหน เมื่อเห็นจุดที่จะไปแล้วก็ดูว่า จะไปหรือยัง ควรไปหรือไม่ควรไป จะไปหรือจะอยู่ เขาว่ากันว่ายังงี้นะ บอกว่า ไม่ได้ตายส่งเดชอย่างชาวบ้านนี่ เขาไม่ได้มีอารมณ์เศร้า เขาเห็นจุดที่จะไป แหม สวยสดงดงาม ถ้าเรามองดูบ้านที่เราอยู่ ไม่ต้องบ้านหรอก เอาพระราชฐานก็ได้ดู พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ที่เราว่าสง่าที่สุดในเมืองไทย นึกให้ข้างในประดับด้วยทองคำ แม้เพชรนิลจินดาก็มี เยอะแยะแต่ว่า บ้านเทวดา บ้านเล็กๆ ที่นับว่า เป็นกระต๊อบที่สุดน่ะ มันสวยกว่านั่นเยอะ กระต๊อบที่มีค่าต่ำที่สุดของเทวดา ก็คือของ ภุมมเทวดาจตุมหาราช นี่อย่างเลวที่สุดนะ เป็นกระต๊อบเงินล้วนๆ วิมานเงินนี่เขาถือว่า เป็นกระต๊อบเล็กที่สุด ถ้าว่ากันตั้งแต่ดาวดึงส์ขึ้นไป ถือว่าทองคำล้วนเป็นกระต๊อบเล็กที่สุด นี่แหม ถ้าเราไปขโมยกระได จากวิมานใครมาได้สักคนละก็ เห็นจะรวยสะบัด
ต่อจากนั้น ขยับขึ้นไปเป็นวิมานแก้ว ก็ดูกันตรงที่ว่า วิมานเป็นแก้วชนิดอะไรกัน ไม่ได้ดูว่า เป็นทองคำหรือเปล่าเสียแล้ว เพราะวิมานทองคำนี่แย่เต็มที เป็นเทวดาที่จนที่สุดเขาดูกันว่า เป็นแก้ว 3 ประการ แก้ว 5 ประการ หรือแก้ว 7 ประการ ถ้าเป็นแก้ว 7 ประการก็ถือว่า เป็นเทวดาชั้นโลกีย์อันดับสูงสุด 
ทีนี้ก็มีเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้าอีก เทวดาชั้นพระอริยเจ้านี่ ก็มีได้ตั้งแต่ ภุมมเทวดา ขึ้นไปนะ อย่าไปนึกว่า ภุมมเทวดา ท่านต่ำนะ บางองค์เป็นพระอนาคามีก็มี 

          ต้องระวังให้ดีพวกที่บอกว่า ไหว้พระภูมิไม่เป็นเรื่องน่ะ ดีไม่ดีไปไหว้เอาพรหมที่ไม่เป็นเรื่องเข้า เพราะเป็นพรหมที่ได้ฌานโลกีย์ มีค่าเท่าพระอริยะเมื่อไหร่ อยู่ชั้นสูงก็จริงแต่คุณสมบัติไม่เท่ากัน
ทำไมพระอริยะองค์นี้ถึงไปเป็นแค่ภุมมเทวดา? เขาบอกว่า เวลาออกไปจากกาย แกคลานเตาะแตะไปน่ะ แกเลยไปสร้างบ้านอยู่ใกล้ ๆ ไปไกลกับเขาไม่ได้ ตอนที่สร้างบ้านเสร็จ ถึงแม้จะเป็นกระต๊อบ แต่พ่อดัน เก็บเงินมาก เป็นมหาเศรษฐี แบบผ้าขี้ริ้วห่อทองใช่ไหม 
           ไปสร้างบารมีใหม่นี่ เขาทำได้นี่ แต่ก็ไม่แน่นัก บางทีพระอริยเจ้าบางองค์ ตัวอย่าง เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ที่เป็น พระโสดาบัน เวลาตายก็ทรงอยู่ในฌาน 4 ที่ถูกจะต้อง เป็นพรหมชั้นที่ 11 ถูกไหม เป็น รหมแบบพระอริยเจ้าด้วย แต่ว่า ขณะที่ทรงฌาน 4 อยู่เขารู้มานานแล้วว่า เขาจะไปไหน รู้มานาน ก่อนตาย แต่ท่านก็เกิดรู้ขึ้น ตอนที่จะออกจากร่างว่า ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นคนนี่ ท่านมาจาก จาตุมหาราช ในเขตของ ท้าวเวสสุวัณองค์เดิม ท้าวเวสสุวัณองค์เดิม ก็คือ ท้าวมหาชมพู ตอนนั้นท่านเป็น อินทกะ อยู่แล้วท่านลงมาเกิดเป็นคน ทีนี้ท่านก็เลยนึกว่า ไอ้บ้านพรหมนั้น ก็ช่างเถอะ ไม่ไปละ อยู่บ้านเก่าดีกว่า ก็เลยไม่ไปพรหม พ่อแวะเสียที่ จาตุมหาราชนี่ เวลานี้ก็เลยเป็น ท้าวเวสสุวัณ 
           เมื่อ 2-3 ปี เดี๋ยวก่อน ปี 09 ปีนั้น นึกฟิตขึ้นมายังไงไม่รู้ ไปไหนๆ ไปได้ แต่จาตุมหาราชไม่ได้ไปสักที จะไปกลางคืนก็ไปไม่ได้ เพราะฝึกกรรมฐานแบบนี้ มันใช้เวลาน้อยเมื่อไหร่ เลยไปมันกลางวัน วันนั้นสั่งเณร ใส่กุญแจกุฏิด้านนอก ตัวเองนอนอยู่ข้างใน ใครมาจะได้นึกว่า ไม่อยู่โกหกชาวบ้านเขา ย่องไปดูสักทีว่า ไอ้จาตุมหาราชน่ะ มันมีอะไรกันแน่ ออกปั๊บไปทางตะวันออกเห็น ท้าวธตรฐ เอ๊ะนุ่งกางเกง ตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ แล้วกัน ไม่ใช่ผ้าเตี่ยวนะ เป็นกางเกงขายาว ทักว่า เอ๊ะ! เทวดานี่ ทำไมไม่ใส่ชฎา ไม่ใส่เสื้อเล่า ท่านก็ตอบว่า แล้วกัน นั่งใส่ชฎากันอยู่เรื่อย ยังไงกัน เทวดาก็เหมือนคน น่ะแหละ ถึงเวลาก็ใส่ ไม่ถึงเวลาก็ไม่ใส่ เราก็นึกในใจว่า อือ เห็นเทวดาตามข้างโบสถ์เขาใส่ชฎาเรื่อยนี่ ถามท่านว่า ลูกน้องไปไหนหมด ท่านบอกว่า อยู่ตามเขต แล้วย้อนถามว่า มาไงล่ะ ตอบท่านว่า ไม่รู้ซี เคยแต่เลยไปทุกที ไม่เคย แวะเลย วันนี้ลองแวะดูที อีแถวนี้รู้สึกว่า พวกเก่าเยอะ คุยกันประเดี๋ยวท่านก็บอกให้ไป คุยนานไม่ได้ 
           ไปหา ท้าววิรูปักษ์ อยากจะดู "นาค" พวกนั้นสักหน่อยว่า ที่เรียกว่า นาคๆ น่ะ นาคแบบไหน ก็ไม่เห็นมี นาค สักตัวเดียว มีแต่เทวดา ถามท่านว่า ทำไมเรียกว่า นาค ล่ะ ท่านตอบว่า "นาคะ" แปลว่า ประเสริฐ หมายถึง เทวดา พวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์ อะไรนี่ ก็เทวดา ยักษ์ เขาแปลว่า บุคคลผู้ควรบูชา ไม่เห็นมีเขี้ยวนี่ สวยจะตายไป 
           เสร็จแล้วไปโน่น ท้าวเวสสุวัณ พอเข้าเขต พรรคพวกก็ไชโยเลย เพื่อนเก่ามาแล้ว เราเคยอยู่ที่นั่น มานี่ ยี่ห้อเก่า เจี๊ยวกันใหญ่เลย ไปคุยอยู่พักหนึ่ง เราเป็นประธานเพราะอะไรรู้ไหม? เราไม่เหมือนเขานี่ ก็นั่งอยู่ที่คนเดียวน่ะซี นอกนั้นเขาพวกเดียวกันเขาก็นั่งรวมกลุ่มกัน เราเป็นประธาน ไม่ต้องให้ใครตั้ง ตั้งมัน เสียเองคุยกันไปคุยกันมา ถามท่านว่า ท้าวเวสสุวัณนี่ พระเจ้าพิมพิสารใช่ไหม? ท่านถามว่า " ทวนทำไม ?" แน่ะดุเสียด้วย ตอบว่า ไม่ใช่ทวนพึ่งจะถามนี่แหละ ท่านก็รู้แล้ว ถามทำไมล่ะ แล้วกัน ก็ถามให้รับน่ะซี แล้วถามต่อไปว่า เวลานี้ ยังเป็นพระโสดาบันอยู่รึ ท่านหัวเราะชอบใจกันทั้ง 4 องค์ แล้วก็ตอบว่า ใครเขาจะคลานขึ้นอยู่ล่ะ แล้วกันหาว่า พระโสดาบันคลานขี้เสียได้ ถามท่านว่า ทำไมล่ะ ตอบมาว่า 
           ผมไม่ได้ปรารถนา พุทธภูมิ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ ก็ต่อบารมีให้สูงขึ้นไม่ได้ จะทรงบารมี หรือ ขัดบารมี ให้เป็นเทวดานั้นทำได้ แต่ต่อบารมีให้สูงขึ้นไม่ได้  ท่านว่าผมเป็น สาวกภูมิ ธุระอะไรจะไปนั่งงอก่ออยู่แค่ พระโสดาบัน ถามท่านว่า ถ้างั้นเวลานี้ เป็นอะไร ท่านบอกว่า เป็นอนาคามี เสร็จ ! นี่เวลาเราเทศน์ เราก็เลยเทศน์โกหกชาวบ้านว่า ท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็น พระโสดาบัน เป็นไง โกหกเขาเพลินไปเลย 
           เทวดา 4 เหล่า หรือ 4 ภาคนี้ เป็นทหาร เขาเรียกว่า ทหารรักษาดาวดึงส์ รักษา เวชยันตพิมาน รูปร่างแก แบ่งเป็น 2 ภาค เวลาแกแบ่งเป็น 2 ภาค เวลาแกทำหน้าที่รักษาเขต ท่าทางก็ไม่เป็นเรื่องหรอก จะเห็นสะโอดสะองหน่อยก็พวกตะวันออก พวกคนธรรพ์ ถ้าเป็นพวกท้าววิรุฬหก จะอ้วนม่อต้อ กุมภ นี่เขาแปลว่า หม้อ ไอ้ใครไม่รู้ดันไปแปลว่า ลูกอัณฑะเท่าหม้อ กุมภ นี่รูปร่างอ้วนเตี้ยเหมือนหม้อ หมอคนแปลดีนั่นเลยซวยไป เทวดาตั้งนามสกุลให้ใหม่ว่า "จงบรรลัย" เวลาที่เขารักษาเขต เขาแสดงตัวใหญ่พุงใหญ่ แต่เวลา ไปไหว้พระที่จุฬามุนี โอ๊ะ แต่งตัวก็พรหมเราดี ๆ นี่เอง ไอ้พุงปลิ้น ๆ หายไปหมด 
ลุงพุฒิ (พยายมราช) นี่ก็เถอะเวลานั่งปกติละพุงเขียวทีเดียว ชอบนุ่งผ้าพื้นผืนหนึ่ง ผ้าขาวม้าพาดบ่าปล่อยพุง วันหนึ่งย่องๆ ไปคุยกับเขา แวะประเดี๋ยวหนึ่งก็ลากกลับบอกว่า จะไปไหว้พระ แกบอกว่า ไปด้วยซี ถามแกว่า ไหว้เป็นเหมือนกันรึ แกว่า เป็นซีความจริงเขาเป็นอนาคามี และเป็นพรหมด้วย 
พอแต่งตัวเข้า ไอ้พุงปลิ้นหายไปหมดแฮะ ไม่ปลิ้นเลย กลับสะโอดสะองสวย ถามแกว่า เอ๊ะ พุงหายไปไหน แกบอกว่า ฮึ เก็บได้ แกมีอะไรขำๆ ดี วันไหนว่างงาน ถ้าไปหาแกๆ มักจะชี้หน้าเอา เจ็บใจตอนที่แกรักษา เวฬุวัน น่ะพวกเราเป็นนักรบนี่ ไปไหนก็ถืออาวุธไปด้วย พอลงไปก็เอาใบหอกตีพุงแก แกเจ็บใจบอกว่า ถ้าพลาดเมื่อไหร่จะจับยัดลงนรก ไม่ให้เหลือเลย


จากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
(หลวงพ่อเล่าเมื่อ 10 สิงหาคม 2520)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น